ความผิดพลาดอย่างหนึ่งที่นักเล่นโป๊กเกอร์มือใหม่ทุกคนต้องเคยโดนกันบ้างก็คือการขาดทุนอย่างหนัก เพราะส่วนมากมุ่งมั่นที่จะเอาชนะคู่ต่อสู้ด้วยทุกสิ่งที่มีรวมถึงชิปที่มีอยู่ด้วย จนลืมคิดไปว่าตัวเองก็มีสิทธิ์ที่จะเป็นผู้แพ้ได้เช่นกัน สุดท้ายก็เลยกลายเป็นผู้เล่นที่ไม่มีอะไรที่จะให้เสีย (เพราะเสียไปหมดแล้ว) วันนี้เราจะพาไปรู้จักกับเทคนิค Stop Loss Limit ที่ทุกคนควรรู้ ถ้าคุณเป็นคนหนึ่งที่ไม่อยากหมดตัวแล้วล่ะก็ ตามไปดูในบทความนี้กันเลย
แนวคิดแห่งการลงทุน
ในการเล่นโป๊กเกอร์นอกจากจะต้องเป็นผู้เล่นที่มีเป้าหมายในการเป็นผู้ชนะในเกมแล้ว อีกบทบาทหนึ่งที่เราต้องเป็นก็คือโค้ชหรือผู้จัดการของตัวเอง ที่จะคอยบอกคอยย้ำว่าจังหวะไหนที่ควรเล่น รวมถึงคอยดูแล Bankroll เพื่อให้เกิดการลงทุนที่เหมาะสม รวมถึงประเมินความเสี่ยงและการสูญเสียในระดับที่ยอมรับได้
แนวคิด Stop Loss Limit หรือการจำกัดการขาดทุนตรงนี้ แรกเริ่มเดิมทีมาจากกลุ่มของนักลงทุนในตลาดหุ้น ที่ทุกครั้งราคาหุ้นตกลงต่ำกว่าราคาต่ำสุดที่ได้ตั้งเอาไว้ ก็จำเป็นต้องขายหุ้นทิ้งเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความสูญเสียที่บานปลาย เพราะไม่รู้ว่าราคาหุ้นจะกลับมาในราคาที่เราต้องการตอนไหน หากไม่ขายก็จะทำให้เสียโอกาสในการลงทุนตัวอื่น ๆ ด้วย
ด้วยหลักการเดียวกันนี้เวลาที่เราเล่นและเกิดการสูญเสียมากถึงจำนวนหนึ่ง เราจะหยุดเล่นทันที ระดับStop Loss Limit ทั่วไปจะหยุดกันเมื่อเสีย 3 buy-in ทั้งนี้ก็อยู่ที่เราด้วยว่าสามารถรับการขาดทุนได้มากน้อยแค่ไหนด้วย
ทำไมเขาถึงบอกว่าเวลาที่จะเล่นพนันเกมไพ่โป๊กเกอร์ ขอให้มีสติ ระวังเรื่องอารมณ์ให้มากๆ เพราะไม่งั้นจะเกิดอาการหัวร้อน หงุดหงิด คิดแต่อยากจะเอาคืนโดยระงับตัวเองไม่ได้ อาการเหล่านี้เรียกว่า Tilt ภัยใกล้ตัวของนักเล่นโป๊กเกอร์ หรือ อาการหัวร้อนนั่นเอง ถ้าอยากรู้ว่า เอ๊ะ! แล้วอาการนี้จะเกิดเมื่อไหร่ แล้วต้องทำอย่างไร ตามมาทางนี้เลยจะเล่าให้ฟัง
ทำไมต้อง Stop Loss Limit ด้วย
เป้าหมายหลักของการตั้ง Stop Loss Limit ก็คือการพาตัวเองออกจากสถานการณ์ที่จะเสียเงินต่อไปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ยกตัวอย่างเช่น ถ้าเราซื้อหุ้นในราคา 10 บาท เอาไว้ 100,000 หุ้น แล้วราคาหุ้นตกมาที่ 9.8 บาท แม้ราคาต่อหน่วยจะลดลงมาแค่ 20 สตางค์ แต่เมื่อเทียบเป็นเปอร์เซ็นต์แล้วเท่ากับว่ามูลค่าของมันลดลงมา 2% จากพอร์ต 1,000,000 บาท เหลือแค่ 980,000 บาท ท่ามกลางตลาดขาลง แล้วแบบนี้ยังจะหวังลม ๆ แล้ง ๆ เสี่ยงถือให้มูลค่าลดลงไปเรื่อย ๆ อยู่อีกหรือ
การเลือกโต๊ะก็เช่นกัน บางครั้งเราอาจไม่ทันดูว่าตำแหน่งที่นั่งผิดหรืออาจจับ Fish ไม่ได้สักที ส่งผลให้เราเล่นเสียโดยไม่ทันตั้งตัว หรือบางทีเล่นได้ดีตลอดทั้งเกม แต่ไพ่ Draw ก็ไม่ยอมติดสักที แถมยังโดนอีกฝั่งกินเงินไปอีก ทีนี้อาการหัวร้อนมันก็มา บางคนอาจจะคิดว่าสู้ต่อไปดีกว่าทั้ง ๆ ที่รู้ว่าปลายทางมันคือความสูญเสีย ดังนั้นการตั้ง Stop Loss เอาไว้จะช่วยพาเราออกมาจากจุดนั้นได้เหมือนมีปุ่มดีดตัวอัตโนมัติเมื่อถึงจุดวิกฤต
ก็จะเห็นได้ว่าการตั้งจุดยอมแพ้หรือจำกัดการขาดทุนมีประโยชน์อย่างมากที่จะควบคุมความเสียหายหากเราเลือกโต๊ะผิด ไปเจอคนที่เก่งกว่าหรือรันไพ่ไม่ดีพอ รวมถึงป้องกันการเกิดอาการ Tilt ได้อีกด้วย
ปกป้องกำไรของคุณด้วยการปักธงยอมแพ้
การตั้ง Stop Loss ไม่ได้มีไว้แค่ป้องกันการขาดทุนเพียงอย่างเดียว แต่มันยังช่วยป้องกันการขาดทุนกำไรได้อีกด้วย ลองย้อนกลับไปในเคสซื้อหุ้นก่อนหน้านี้ที่เรามีพอร์ตอยู่ 1,000,000 บาท ทีนี้ราคาขยับขึ้นไปเป็นหุ้นละ 11 บาท เท่ากับว่ามันขึ้นมา 10% ตอนนี้เรามีกำไรมาแล้ว 100,000 บาท และดูเหมือนว่าจะเป็นตลาดขาขึ้นก็เลยยังไม่ขาย พร้อมกับขยับเป้าไปที่ 20% แต่ก็ตั้งจุดยอมแพ้ไว้ที่ 10.8 บาท เผื่อว่าหากราคาหุ้นตกอย่างน้อยเราก็ยังได้กำไร 80,000 บาท
การทำเช่นนี้ในโป๊กเกอร์เราจะเรียกกันว่า Reset Lost Limit ยกตัวอย่างเช่นตอนเริ่มเกมปักธงไว้ที่ 3 buy-in ทว่ากำไรเพิ่มถึง 4 buy-in ในเวลาสั้น ๆ เท่ากับว่าตอนนี้เราสามารถเสียได้ถึง 7 buy-in กว่าจะไปถึงเป้าที่เราตั้งไว้
เมื่อเป็นอย่างนี้แล้วจะรอให้เสีย 5-6 buy-in ก่อนหรือ ในเมื่อเรายังมือขึ้นอยู่ ในสถานการณ์เช่นนี้เมื่อได้กำไรมาแล้วเราควรจะย้ายธงเดิมที่ปักไว้ เช่น ของเก่า Loss Limit $150 พอได้กำไรมา $100 ก็ควรจะขยับจุดยอมแพ้มาที่ $50 เพื่อที่จะปกป้อง $100 ที่ได้มาแล้ว แต่การไล่ปรับจุดยอมแพ้ไปซะทุก Pot ก็ไม่ใช่เรื่อง เราอาจทำเมื่อได้กำไรระดับหนึ่งที่คิดว่ามากพอสมควรถึงค่อยปรับ Loss Limit ก็ได้ แต่ถ้าเราไม่ทำอะไรเลยกว่าจะรู้ตัวก็อาจต้องเสียกำไรที่ได้มาก่อนหน้าไปด้วย สุดท้ายก็ “รู้อะไรไม่เท่ารู้งี้”
หากเราเล่นโป๊กเกอร์ไปจนถึงจุดๆนึงที่กดดันเรามากๆ เริ่มที่จะหงุดหงิด และ สับสนจนคุณอาจตัดสินใจเล่นแบบผิดๆ ทำให้ที่เล่นมาดีตั้งแต่ต้นพังสูญเสียเงินไปโดยเปล่าประโยชน์ วันนี้เราก็อีกเทคนิคนึงที่อยากจะแนะนำให้ลองฝึกฝนและนำไปใช้ดู แต่ก็ขอเตือนไว้ก่อนว่า Double Barrel เทคนิคโกงโป๊กเกอร์สุดแสนอันตราย แต่ถ้าใช้เป็นมันจะช่วยคุณให้ผ่านพ้นสถานการณ์ที่กำลังแย่ให้ผ่านไปได้ด้วยดีเลยทีเดียว
แล้วจะตั้ง Stop Loss อย่างไรดี
ทุกครั้งที่เราเล่นควรจะมีจุด Stop Loss Limit สำหรับ Table และ Session เสมอ เพราะว่าใน 1 Session เราอาจเจอโต๊ะที่แย่แค่โต๊ะเดียว ซึ่งไม่ใช่เรื่องยากในการลุกออกไปแล้วเล่นต่อในโต๊ะที่ดีกว่า แต่ว่า Table Stop Limit จะมีขนาดต่ำกว่า Session Stop Limit เสมอ เพราะมันคือจุดที่เรายอมเสียได้ในโต๊ะนั้น ไม่ใช่ทุกโต๊ะรวมกันเหมือนของ Session ยกตัวอย่างเช่น เราตัดสินใจยอมแพ้เมื่อเสียไปแล้ว 2 buy-in ในโต๊ะนี้ แต่ว่าเราตั้ง Session Stop Limit ไว้ที่ 9 buy-in เท่ากับว่าตอนนี้ยังไม่จบ Session และเรายังสามารถเล่นต่อในโต๊ะอื่น ๆ ได้อยู่
โดยทั่วไปแล้วในเกม Holdem No Limit และ Pot Limit จะตั้ง Table Stop Loss ไว้ที่ 3 buy-in และ 5 buy-in สำหรับ Session Stop Loss หรือจะน้อยกว่านี้ก็ได้ถ้าใช้คู่กับเทคนิค Short-Stack แต่ถ้าเสียไปแล้ว 8 buy-in ใน SNG ไม่ควรจะเริ่ม Tournament ใหม่ ส่วน Fixed Limit Table Loss Limit ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ 50 BB และ Session Loss Limit จะอยู่ที่ 100 BB
อย่างไรก็ตามเทคนิคนี้เราสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสม ที่สำคัญคือต้องมีสติและวินัยในการ Cut Loss ด้วย ถึงจะช่วยประคับประคองให้เราไปได้ไกล นอกจากนี้จำไว้ว่าการตั้ง Stop Loss ไม่ได้ทำให้เราเล่นได้ดีขึ้น แล้วก็ไม่ได้ช่วยดึงเงินที่เสียไปกลับคืนด้วย แต่มันช่วยไม่ให้เราเสียมากเกินไป พร้อมกับเพิ่ม Win Rate และ Bankroll ได้ในระยะยาว
บทสรุปทิ้งท้าย
สิ่งที่ทำให้นักเล่นโป๊กเกอร์มืออาชีพมีความแตกต่างจากคนอื่นก็คือพวกเขามีทั้งความเป็นโค้ชและผู้เล่นในคนเดียวกัน ในฐานะผู้เล่นพวกเขาจะมุ่งมั่นทำทุกวิธีงัดทุกกลยุทธ์ที่มีออกมาใช้เพื่อให้ตัวเองเป็นผู้ชนะ ขณะเดียวกันก็จะมีมุมมองของโค้ชที่ประเมินสถานการณ์ได้หลากหลายมิติ รู้ว่าจังหวะไหนควรเล่น จังหวะไหนควรหยุด เพื่อบริหารจัดการ Bankroll ให้ดีที่สุด นอกจากนี้การตั้ง Stop Loss ก็ยังเป็นสิ่งที่จะขาดเสียมิได้ จำไว้ว่า ยอมขาดทุนกำไร ยังดีกว่าเสียกำไรทั้งหมดไป ยอมขาดทุนแค่บางส่วน ดีกว่าไม่เหลือทุนแม้แต่ส่วนเดียว ตราบใดที่ยังมีทุนก็ยังมีโอกาสไว้ให้แก้ตัวเสมอ